ภาวนาบนหุบเขา…ที่ป่ารกน้อยกว่าใจฉัน

เรียบเรียงโดย KEDSUDA SUANKEOW·SATURDAY, DECEMBER 5, 2015

       เมื่อวิถีเมืองวุ่นวายจนจิตวิญญาณอ่อนล้า ฟ้าก็ส่งเวลาให้ได้มาภาวนา 5 วันกับ 3 กูรูผู้รู้ที่แตกต่าง 5 วันนี้ก็เลยเป็นรางวัลของชีวิต …..ที่ที่เราอยู่อาจต่างจากป่ามากมายนักแต่การได้สัมผัสป่าในแบบที่ป่าเป็นช่วยให้เรากลับไปในเมืองในแบบที่มีความจำได้หมายรู้ว่าจะเข้าป่าจากในเมืองได้อย่างไร ฤาว่าธรรมชาติของป่าเยียวยาจิตวิญญาณฉัน…..

ความเยอะ ความละโมบ ความโลภ ความอยากอันหลากหลายล้วนสถิตย์ในร่างกายและจิตใจฉันอย่างแน่นแฟ้นมาเป็นเวลานาน….อยากจะกำจัดให้มันออกไปจากชีวิต….ใครๆ อาจจะคุ้นชินกับการภาวนาในแบบเดียวหรือแบบที่ชำนาญ….ฉันไม่มี…555…มีแต่ว่าตอนไหนฉันจะเลือกหยิบวิธีไหนมาภาวนา….ฉันภาวนาแบบไหนบางหนอ…ดูลมหายใจ เดินจงกลม ภาวนาผ่านสี ภาวนาผ่านกาย ภาวนาผ่านการนอน ภาวนาผ่านการร้องเพลง ภาวนาผ่านการทำโยคะ ภาวนามองเห็น ภาวนาผ่านการเดินป่า ภาวนากับใบไม้ ภาวนากับดิน ภาวนาผ่านแสง ภาวนาผ่านการนั่งนิ่งๆ……หมดหรือยังนี่….ป่าในใจฉันอาจจะรกมาก…..การทำความรู้จักใจตัวเองจึงต้องค่อยเห็นไป…พะตีจอนิบอกว่า… “ต้องเห็นก่อนถึงจะรู้”…..ฉันสรุปให้ฟังแบบฉันฉันเลยคือว่าถ้าเห็นแล้วรู้คือความจริงแต่ถ้าไม่เห็นแต่รู้เขาเรียกว่ามโน….ตัวคิดนี้เพิ่งรู้จักมันชัดเพราะคำของพะตีเลย…..

มุมมองจากห้องเรียนริมนาข้าวอันอุดม

การทำความเข้าใจโลกผ่านสามมุมมองของผู้นำการเรียนรู้ทั้งสามท่านเขย่าฉันจนโลกในกะลาสะเทือน….การเข้าใจโลกผ่านตัวเองนี่มันช่างจำกัดซะเหลือเกิน….จำกัดให้เราวนเวียนอยู่แต่ความสุขทุกข์ของตัวเอง จำกัดให้มองเห็นแต่ตัวเอง จำกัดให้มองแบบม้ามีที่บังตาด้วย จำกัดให้อยู่ในกะลาแคบของตัวเอง….แต่มันไม่ง่ายเลยกว่าที่จะฝึกให้เราเปิดใจรับฟังคนอื่นที่แตกต่างจากความเป็นกู…. ..อุปมาเหมือน…เมื่อใจเปิดเธอจะเห็นโลก แต่เมื่อใจปิดเธอจะเห็น เพียงปลายเข็มหมุดจุ่มหมึกแต้มบนกระดาษ …อธิบายเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจ….เมื่อเรามีใจแบบเปิดๆการรับฟังจากคนอื่น….เราจะเห็นข้อจำกัดของตัวเอง เราจะเห็นมุมที่เราไม่ได้มอง เราจะเห็นเต็มไปหมด…..เห็นในแบบที่กว้างขึ้น ขยายขึ้น ลึกซึ้งขึ้น ซึ่งต่างจากใจที่ปิดๆ ที่มัน จะเห็นเพียงจุด . เล็กๆ จะเห็นแต่ตัวเองเห็นในแบบที่…..คับแคบและมีขอบเขตเพียงน้อยนิดและไม่มีมิติ

โรงเรียนของหนู

การทำความรู้จักตัวเองผ่านการคุยกับตัวตนอันหลากหลายในตัวฉัน…การฟังเสียงภายในตัวเองเป็นเรื่องยากมากเลยขอบอก…การได้การสะท้อนจากคนรอบข้างอย่างตรงไปตรงมาปราศจากอคติและการติดสิน(จา่กทั้งตัวเราและผู้สะท้อน)….ช่วยเราได้มากในการเห็นตัวเอง….การสีบค้นเข้าไปภายในตัวเองบางทีก็ต้องมีคำถามดีๆ ที่ช่วยให้เราได้ใคร่ครวญ… จำได้ว่าตอนที่ถูกถามแล้วเราตอบความรู้สึกเบาๆ ไม่ได้มีความอยากปรับคำตอบให้ดูดีน่าเชื่อถือ คำตอบไม่ถูกกลั่นกรอง บางครั้งคำตอบนำมาซึ่งความสะเทือนใจแต่เราไม่หลีกเลี่ยงที่จะตอบ ยอมเผยความกลัว ความไร้ท่า ความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองออกมา…คำถามจึงมีความสำคัญมาก….แล้วคำถามแบบไหนล่ะที่ทำให้ฉันตอบในแบบนั้นออกมา….เป็นความรู้สึกต่อคำถามนั้นว่า….คนถามเขาไม่ได้ต้องการจะสรุปว่าฉันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เขาเชื้อเชิญให้ฉันละวางบางอย่างลงแล้วหันมาจ้องตากับตัวเอง เขาไม่รีบร้อนให้ฉันเค้นคำตอบออกมา ในระหว่างการรอได้รับโอบอุ้มด้วยความอบอุ่น คำถามนั้น focus อยู่ที่ฉัน แล้วคำถามนั้นมันทำหน้าที่ล้วงลึกไปที่ตัวตนที่หลับไหล…หรืออาจจะอ่อนล้าเพราะถูกกักขังมานานแรมปีให้ตื่นขึ้นมาให้ฉันเห็น…..ฉันเห็นเด็กน้อยที่ถูกโอบอุ้มไว้ในเกราะเพชรเพราะเกรงว่าจะทำให้ฉันอ่อนแอ…..แต่เด็กน้อยคนนั้นก็เป็นฉันด้วยไม่ใช่หรือ…..

ประตูสู่ป่า….มงกุฎของผู้เรียนรู้

เราเดินผ่านประตูด้วยความตื่นเต้นยินดีและมีความหวังว่าจะได้เจออะไรสักอย่างที่ชีวิตต้องการ… บอกไม่ได้เหมือนกันว่าต้องการอะไร แม้แต่คำถาม หรือคำอธิษฐานก็นึกไม่ออก ลึกๆในใจบอกว่าให้อะไรมาฉันก็จะขอรับสิ่งนั้นแหละ…..ขณะที่เขียนบันทึกฉันเห็นความโลภของตัวเองที่ไม่ขอเพราะกลัวจะขอน้อยไปหรือไม่ครอบคลุม และเห็นความกลัวจะเสียภาพลักษณ์ตัวเองว่าจะเป็นพวกขี้ขอไม่ลงมือทำ…เห้อ…ตัวกู

ระหว่าง 36 ชม.ฉันท้าทายธรรมชาติภายในและภายนอกตัวเองด้วยการทำหลายอย่าง การไม่กินอาหารนอกจากน้ำ การไม่ใส่รองเท้าเดินป่า ฉันร้องเพลง ฉันมองความมืดจนเห็นความสว่างยามเช้า การกอดต้นไม้ การนำตัวเองไปสัมผัสใบไม้ พื้นดิน ก้อนหิน การเล่นกับลูกก่อที่มีหนามแหลม การฝืนตัวเอง การตามใจตัวเอง  การนอนกับฝนการอยู่ร่วมกันกับความเปียก …..ฉันทำๆๆๆ….หากรู้สึกว่าว่างแล้วจะเริ่มคิดฉันจะภาวนา…..ภาวนาในแบบที่ฉันเลือก…ทั้งหมดที่กล่าวมาได้ผลลัพธ์สิ่งเดียวคือ…ทำ ทำ และหยุดคิดได้….เท่านั้นเอง แต่มันเป็นความมหัศจรรย์ของฉัน…..ฉันหยุดอดีต ไม่คำนึงถึงอนาคต ….อยู่กับการทำ ทำ …ฉันแค่จำว่าการเข้ามาทำ ทำ มันต้องเป็นแบบนี้เพื่อเอากลับไปใช้ในทุกวันของชีวิต

ถามว่าได้อะไรจากในป่า…. “ฉันได้ความกล้า” …..ชีวิตมันเบาขึ้น โลกนี้น่าอยู่ขึ้นมาก รู้สึกว่ามีความหวังมากขึ้นแต่ความคาดหวังน้อยลง …ฉันพบว่าต้นไม้ไม่ว่าจะต้นเล็กต้นใหญ่ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง…ซึ่งเป็นข้อค้นพบที่ธรรมดามากๆแต่สำคัญมากสำหรับใจฉัน…เหนือสิ่งอื่นใดคืออิสระและเสรีภาพในตัวเอง…..เมื่อตัดข้อจำกัดบางอย่างลงชืวิตง่ายขึ้นมาก…ใช้เวลาโดยไม่ถูกจำกัดด้วยเวลา ไม่ต้องวุ่นวายกับการกิน อยู่ หลับนอน…..ในโหมดปกติเราเสียเวลาไปกับการทำมาหากินวันละกี่ชั่วโมง…..พอออกมาจากป่า…กินง่ายขึ้นเยอะเลย

ผู้ว่าการแห่งขุนเขา

ขอบคุณพะตีจอนิ….ที่บอกเล่าความเข้าใจต่อธรรมชาติผ่านเรื่องเล่าและวิถีปกากะญอ เรื่องราวของการต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหาว่าทำลายป่าต้นน้ำ การเล่าชีวิตครอบครัวและการงานเพื่อเป็นแบบอย่างในการเข้าใจโลก และที่สำคัญมากการคืนจิตวิญญาณให้กับพิธีกรรมที่ไม่ใช้สักแต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ข้อคิดและคำสอนของพะตีช่วยให้กะลาของฉันกว้างขึ้นอีก

ผู้ก่อการเรียนรู้

ขอบคุณพี่ประชา ที่ทำช่วยให้เข้าใจคำสอนในพุทธศาสนามากขึ้น….ความหมายของคำบางคำลึกซึ้งกว่าที่เคยรู้จัก กระจ่างขึ้น แจ่มชัดขึ้นและไม่รู้สึกว่าเป็นภาษาเทพ…. ความเข้าใจในเรื่องการเติบโตด้านในที่จับต้องได้มีตัวชี้วัดที่วัดผลได้ด้วยตัวเอง

  1. ลดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ลดการยึดติดภาพลักษณ์ ลดความอยากได้การยอมรับ พร้อมทำเฉพาะหน้าอย่างสุดกำลัง
  2. ไม่ยึดติดี ทำความดีลับคนอื่นได้ หมดสิ้นเจตนาทำร้ายคนอื่น มีศีลโดยธรรมชาติ
  3. มั่นใจแบบอ่อนน้อม ไว้ใจจักรวาล ล้มเหลวได้ สำเร็จได้ ไม่หวั่นไหว
  4. รู้กาละเทศะ เหตุ-ผล-ตน-ประมาณ-กาล-ชุมชน

วงจรการเรียนรู้ด้านใน….โดยพี่ประชา

ได้ยินเรื่องการเรียนรู้ด้านในมานานแต่รู้สึกว่าจับต้องไม่ได้ ทั้งๆที่ 3 ปีทีเรียนมาเราทำงานกับการเติบโตด้านในมาตลอด….รู้แล้วว่าทำไมต้นไม้ภายในของตัวเองถึงได้แคระแกรนไม่เติบโตออกดอกออกผลสักที

ผู้สร้างแรงบันดาลใจ

ขอบคุณพี่ณัฐฬสสำหรับการช่วยให้ได้พูดคุยกับเด็กน้อยในเกราะเพชร(เจ็ดชั้น) การรู้จักตัวเองที่ชัดเจนขึ้น การทำความเข้าใจผ่านศาสตร์ตะวันตกและมุมมองใหม่เรื่องสี่ทิศ เห็นทิศทางในการพัฒนาตัวเองอีกยาวไกล และแรงบันดาลใจการเปลี่ยนภายในตั้งแต่ได้ฟังจากเวทีชานบ้านชานเรือนของสรพ. จนกระทั้งมาถึงนิเวศน์ภาวนาครั้งนี้…

และที่สำคัญคือการน้อมรับปัญญาจากแผ่นดิน การตายทิ้ง การน้อมรับและการเกิดใหม่ ซึ่งมีหลายอย่างที่ยังย่อยได้ไม่หมดนะคะ

ขอบคุณน้องหวาน น้องเก่ง แมวอย่างมากสำหรับการเตรียมงานที่มีคุณค่าครั้งนี้

ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน

Pracha Hutanuwatr Nuttarote Wangwinyoo ขอบพระคุณนะคะ…..ยังเรียบเรียงไม่หมดเลยค่ะที่เขียนมา ยังค้างอยู่ในหัวอีกมากค่ะ

ในความฝันฉันเห็นแววตาของเธอ

เกศสุดา สวนแก้ว

ผุ้เข้าร่วมหลักสุตรนักขับเคลื่อนสังคมฯ รุ่นที่ 2